
เชื่อได้ว่าคนทั่วประเทศไทยจะไม่มีใครไม่รู้จักหลวงพ่อโสธร และมีผู้คนมากมายทั่วประเทศที่ไปกราบสักการะ ซึ่งลูกศิษย์ลูกหาและบุคคลทั่วไปอาจทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าจะมีการนมัสการหลวงพ่อโสธรประจำทุกปีระหว่างวันที่ 5-14 พฤศจิกายน ซึ่งต่อไปนี้เราจะมาเล่าถึงเรื่องราวและประวัติของหลวงพ่อโสธรให้ทุกคนได้ทราบและรู้จักกันอย่างละเอียดถึงความเป็นมา
หลวงพ่อโสธร หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่า หลวงพ่อพระพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่สำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา มีพุทธลักษณะ เป็นพระปรางค์สมาธิ และมีพระอริยบทนั่งขัดสมาธิราบ พระชงฆ์ขวาทับพระชงฆ์ซ้าย วางซ้อนกันอยู่บนพระเพลาที่มีส่วนสูงถึง 6 ฟุต 7 นิ้ว และปัจจุบัน ได้ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถวัดโสธรวนารามวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการสร้างประกอบขึ้นจากหินทรายทั้ง 8 ชิ้น แล้วพ่อปูนทับลงบนองค์พระ และได้มีการตรวจสอบพบว่า วัสดุการใช้และพุทธศิลป์ เป็นศิลปะในยุคอยุธยาตอนต้น

ชาวบ้านเชื่อกันว่า หลวงพ่อโสธร ประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธรมาตั้งแต่รัชกาลที่ 2 ในช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา อายุประมาณ 500 – 600 ปีก่อน ซึ่งมีการประกอบขึ้นจากหินทรายในยุคอยุธยาตอนต้น และได้ประทับอยู่บนบัลลังก์ 4 ชั้น และเป็นที่นิยมมากในสมัยโบราณ และยังมีพระพุทธ 10 องค์ ที่ประดิษฐานรวมกัน แต่พระพุทธรูปลักษณะเดียวกันนี้ จะมีเพียง 2 องค์ ที่เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก ได้สร้างขึ้นจากไม้มงคล มีพุทธลักษณะไปทางอยุธยาตอนปลาย และมีความแตกต่างจากองค์อื่นๆที่สร้างขึ้นจากหินและทราย
ในสมัยก่อน การสร้างพระพุทธรูปขึ้นจากหินและทราย เป็นที่นิยมกันอย่างมากในอยุธยาตอนต้น จึงมีข้อสันนิษฐานกันว่าหลวงพ่อโสธร และวัดโสธร ได้ถูกสร้างหรือประดิษฐานอยู่บริเวณดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ซึ่งได้มีการปฏิสังขรบูรณาในยุคสมัยต่อมา ซึ่งเดิมทีวัดนี้มีชื่อ โสธร มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะตั้งชื่อตามคลองโสธร และอีกเรื่องที่มีผู้คนบางคนบอกว่าชื่อวัดหงษ์ มาจากเหตุการณ์ที่เสาร์หงษ์หัก เลยมีการตั้งชื่อว่าเสาธร หลังจากนั้นได้พูดกันไปกันมาจนมาเป็น โสธร และไม่มีประวัติหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แน่ชัด เนื่องจากตำนานของ หลวงพ่อโสธร ถูกนิราศฉะเชิงเทราและโคลงนิราศปราจีนบุรี แต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระนางเจ้าอยู่หัว มีเพียงแค่กล่าวถึงวัดโสธรเพียงเท่านั้น ไม่มีการกล่าวถึงตำนานของหลวงพ่อโสธรแต่อย่างใดให้เห็น
ตำนานหลวงพระพุทธโสธร ในประวัติศาสตร์ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดหรือยืนยันได้ว่า ใครคือผู้สร้างพระพุทธรูปขึ้น และไม่สามารถทราบได้ว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยใดเวลาใด เป็นเพียงแค่เรื่องกล่าวขานกันต่อมา ในจังหวัดหนึ่งของไทยที่อยู่ทางภาคเหนือ ซึ่งเราว่ามีพระภิกษุสามองค์พี่น้อง ได้ศึกษาพระธรรมวินัยจนแตกฉานและได้จำแลงตนกลายเป็นพระพุทธรูป
ได้ปรากฏองค์พระ ณพื้นที่บริเวณหนึ่ง และชาวบ้านอาศัยอยู่บริเวณนั้นได้พบเห็น จึงได้ช่วยกันนำเชือกมะนิลามาฉุดขึ้น แต่เชือกก็ขาด และไม่สามารถนำขึ้นมาได้ก่อนที่พระทั้ง 3 องค์ นั้นจะจมหายไปในบริเวณที่พระทั้ง 3 องค์ได้ลอยทวนน้ำหนี และมีการกล่าวขานกันมาอย่างยาวนานว่า 3 พระทวน และต่อมาจึงกล่าวขานกันเพี้ยนมาเป็น สัมปทวน ซึ่งเป็นอำเภอเมืองฉะเชิงเทราจวบจน ณ.เวลาปัจจุบันนี้
เวลาผ่านไปนานหลายปี มีการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่คลองคุ้ง ซึ่งชาวบ้านได้พบเจอ ก็พากันหาวิธีต่างๆนานาเพื่อจะนมัสการหลวงพ่อขึ้นสู่ฝั่ง แต่ก็ยังไม่เป็นผลอีกเช่นเคย ซึ่งสถานที่ในปัจจุบันนั้นเรียกกันว่า บางพระ ในเวลาต่อมาหลังจากนั้นพระพุทธรูป 3 องค์ที่ปรากฏให้ชาวบ้านเห็นก็แสดงอภินิหารในคลองเล็กๆ ที่อยู่แถวตรงข้ามกองพันทหาร บริเวณนั้นในปัจจุบันเรียกว่า แหลมลอยวน มีชื่อว่า คลองสองพี่น้อง
ซึ่งต่อมาจวบจนองค์ที่ 2 ได้มีการปรากฏขึ้นที่หน้าวัดหงษ์ ซึ่งมีการเล่าขานจากชาวบ้านที่วัดแห่งนี้เดิมทีมีเสาใหญ่ ประดับด้วยหูที่ทำขึ้นจากทองเหลืองอยู่บนยอดเสา และจึงได้ชื่อวัดหงษ์ ซึ่งเวลาผ่านไปโหที่เสาร์นั้นได้หักลง ทางวัดจึงได้มีการนำธงไปติดเลยที่ยอดเสาแทนหงส์จึงมีเรียกกันว่า วัดเสาธง แล้ววันนั้นมีลมแรงพายุพัดเสาร์ต้นนั้นหักลงส่วนหนึ่งอีกครั้ง จึงมีการเรียกชื่อวัดว่าเป็นวัดเสาทอน ในสมัยต่อมาจึงเรียกชื่อเพี้ยนเป็นวัดโสธรในปัจจุบัน
ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงหรือจังหวัดใกล้เคียงต่างได้ยินเรื่องราวก็หลั่งไหลกันเข้ามาทำบุญและอาราธนาฉุดขึ้นฝั่งแต่ไม่สำเร็จ ในตอนนั้น มีพระอาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษท่านหนึ่งซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์อย่างแต่ขนาน และวิธีการอาราธนาที่เป็นผล และได้มีการทำวิธีปลูกสารเพียงดาบบวงสรวงและอัญเชิญพิธีชุมนุมเทวดาอาราธนา ใช้สายสินผูกค้องที่พระหัตถ์ของพระองค์พระพุทธรูป และจากนั้นจึงค่อยๆฉุดขึ้นมาบนฝั่ง ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เมื่อพระพุทธรูปได้ขึ้นมาอาราธนาบนฝั่งแล้ว เป็นที่ปิติยินดีอย่างยิ่งของชาวบ้านและคนจังหวัดฉะเชิงเทรา และได้มีการอัญเชิญประดิษฐานไว้ที่พระวิหารวัดโสธร หรือเรียกกันอีกนามว่า พระพุทธโสธร หรือหลวงพ่อโสธร จึงเป็นที่รู้จักมาจนถึงปัจจุบัน
และหลวงพ่อโสธรองค์สุดท้ายได้ปรากฏลอยน้ำอยู่ที่แม่น้ำเจ้าพระยา ประชาชนได้พบเห็นบริเวณนั้นจึงได้พากันอาราธนาขึ้นฝั่งแต่ก็ไม่สำเร็จ เชื่อกันว่ามีผู้คนมากมายมาช่วยกันฉุดดึงหลวงพ่อขึ้นฝั่งถึง 3 แสนคน สถานที่นั้นจงถูกเรียกว่า สามแสน ในเวลาต่อมาจึงเรียกกันเพี้ยนกันมาเป็นสามเสนในปัจจุบัน หลังจากนั้น พระพุทธรูปองค์ดังกล่าวได้ขึ้นไปผุดที่คลองสำโรง ในจังหวัดสมุทรปราการ ประชาชนที่เห็นจึงได้อาราธนามาประดิษฐานไว้ที่วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม หรือวัดบางพลีในปัจจุบัน และยังถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์อีกองค์หนึ่งของประเทศไทย ได้แก่หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ หรือบางตำนานที่เล่าสู่ต่อกันมาได้กล่าวถึงพระพุทธรูปองค์นี้ไว้ว่า พระพุทธรูปที่ผุดขึ้นมานั้นมีพี่น้องอยู่ 5 องค์ โดยมีหลวงพ่อไร่ขิง ณ.วัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม หลวงพ่อทอง เขาตะเภา ณวัดเขาตะเภาจังหวัดเพชรบุรี และบางพื้นที่ก็ยังเชื่อว่าพระพุทธรูปมีพี่น้องถึง 6 องค์โดยนับรวมกับหลวงปู่หิน ณวัดอ่างศิลาจังหวัดชลบุรีเป็นต้น
พระพุทธโสธร เปรียบเสมือนต้นโพธิ์อันใหญ่ ที่ให้สิ่งมีชีวิตและสรรพสิ่งทั้งหลายได้มาพักพิงทั้งกายและใจ เหมือนร่มไม้ใหญ่ที่คอยกลางเพื่อปกป้องภัยอันตราย และความเดือดร้อนของสรรพสัตว์และผู้คนทั่วไปให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข และอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงพ่อโสธร ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ จะมีมากมายเกินกว่าเราจะมาเล่าให้ฟังทั้งหมดได้ เราเลยย่อมาให้คร่าวๆคือ
1.การค้าขายที่เจริญรุ่งเรือง
2.ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ
3.เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของคนฉะเชิงเทรา
ปาฏิหาริย์มีมากมายท่านสามารถค้นหาปาฏิหาริย์ได้ทุกช่องทางไม่ว่าจะทางอินเตอร์เน็ตหรือหนังสืออื่นๆที่เราเล่ามาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของตำนานหลวงพ่อโสธร